เลือกแอร์อย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน มีฤดูร้อน ฤดูร้อนมากๆ และฤดูร้อนมากถึงมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเหตุนี้ เครื่องปรับอากาศจึงมีความสำคัญอยู่ไม่น้อยสำหรับบ้านเมืองเรา ราคาเครื่องปรับอากาศแต่ละเครื่องก็ค่อนข้างจะสูง
ถ้าเลือกซื้อไม่เหมาะสมก็จะเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ วันนี้เรามีวิธีในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศมาฝากครับ
ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อแอร์
เลือกขนาด BTU ที่เหมาะสม
ขนาด BTU (British Thermal Unit) คือ ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงขนาดของแอร์กับขนาดของห้องให้พอดีกัน เพราะหากเลือกแอร์ที่มี BTU สูงหรือต่ำจนเกินไป จะทำให้เปลืองไฟ แอร์ไม่เย็น และแอร์เสียได้ง่ายขึ้น
วิธีการคิดค่า BTU แบบคร่าว ๆ
การคำนวณค่า BTU แบบคร่าว ๆ เพื่อเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU เหมาะสมกับห้องนั้น สามารถทำได้ด้วยการใช้ขนาดของพื้นที่คูณด้วย 650-800 BTU ต่อ 1 ตารางเมตร ทั้งนี้สามารถบวกลบได้อีก 5% ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ เช่น ทิศทางของห้อง การโดนแดด ลักษณะการใช้งาน เป็นต้น โดยมีตัวอย่างคร่าว ๆ ของขนาด BTU ที่เหมาะสมดังนี้
ตารางการเลือกขนาด BTU | ||
ขนาด BTU | ห้องปกติ | ห้องโดนแดด |
9,000 BTU | 12-15 ตารางเมตร | 10-14 ตารางเมตร |
12,000 BTU | 16-20 ตารางเมตร | 14-18 ตารางเมตร |
18,000 BTU | 24-30 ตารางเมตร | 21-27 ตารางเมตร |
21,000 BTU | 28-35 ตารางเมตร | 25-32 ตารางเมตร |
24,000 BTU | 32-40 ตารางเมตร | 28-36 ตารางเมตร |
25,000 BTU | 35-44 ตารางเมตร | 30-39 ตารางเมตร |
30,000 BTU | 40-50 ตารางเมตร | 35-45 ตารางเมตร |
คอมเพรสเซอร์ (Compressor)
คอมเพรสเซอร์นั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. คอมเพรสเซอร์ลูกสูบ (Reciprocating Compressor) ทำงานด้วยการใช้กระบอกสูบในการอัดน้ำยา ให้กำลังแรงสูง แต่มีความสั่นสะเทือนสูง และเสียงค่อนข้างดัง นิยมใช้ในเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่
2. คอมเพรสเซอร์โรตารี่ (Rotary Compressor) ทำงานด้วยการหมุนของใบพัดที่มีความเร็วสูง มีความสั่นสะเทือนน้อย เสียงเงียบ เหมาะสำหรับเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก
3. คอมเพรสเซอร์แบบขด (Scroll Compressor) ทำงานด้วยใบพัดรูปก้นหอย มีความสั่นสะเทือนน้อยมาก มีเสียงเงียบ ให้พลังงานสูง ถือว่าดีกว่าคอมเพรสเซอร์ชนิดอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน
ระบบฟอกอากาศ (Air Purifier)
ระบบฟอกอากาศกลายเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับแอร์ที่วางขายอยู่ในปัจจุบัน เพราะระบบฟอกอากาศจะช่วยหมุนเวียนให้อากาศภายในห้องสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นหลายระบบดังนี้
1. การกรอง (Filtration) เป็นการใช้แผ่นกรองอากาศดักจับฝุ่นละอองเอาไว้ และต้องหมั่นเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศเมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคในอากาศ นอกจากนี้หากต้องการกำจัดกลิ่นให้เลือกแผ่นกรองที่เป็นคาร์บอน เพื่อดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ
2. การดักจับด้วยไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) คือการดักจับฝุ่นละอองในอากาศด้วยการใช้ตะแกรงไฟฟ้า (Electric Grids) และใช้แผ่นโลหะอีกชุดเรียงขนานกันเพื่อดูดฝุ่นละอองเอาไว้ หากมีการหมดอายุต้องหยุดเครื่องเพื่อทำความสะอาด
3. การปล่อยประจุไฟฟ้า (Ionizer) คือการผลิตประจุไฟฟ้าประจุลบเพื่อปล่อยออกมาพร้อมกับลมเย็น เพื่อให้ดักจับฝุ่นละอองที่เป็นประจุบวก ซึ่งฝุ่นละอองที่ถูกดักจับจะรวมตัวกันและร่วงหล่นมาบนพื้นห้อง สามารถทำความสะอาดห้องได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำความสะอาดภายในเครื่องปรับอากาศ